Record of Learning 2
Monday 22 January 2018
การเรียนการสอนวันนี้อาจารย์ให้แต่ละกลุ่มนำเสนองานหน้าชั้นเรียน
หัวข้อเรื่องดังนี้
- พัฒนาการตามวัยของเด็กปฐมวัย
- ความสนใจและความต้องการของเด็กปฐมวัย
- การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
- รูปแบบการเรียนรู้แบบโครงการ
กลุ่มที่ 1 เรื่องพัฒนาการตามวัยของเด็กปฐมวัย
ข้อเสนอแนะของอาจารย์ : ให้เปรียบเทียบความแตกต่างของหนังสือพัฒนาการของเด็กปฐมวัยในหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 2546 กับหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 2560
กลุ่มที่ 2
ความสนใจและความต้องการของเด็กปฐมวัย
เด็กปฐมวัยเป็นวัยเริ่มต้นของชีวิตที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความเป็นมนุษย์ การสร้างรากฐานที่ดีทั้งทางร่างกาย
และจิตใจให้กับเด็กในวันนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะช่วงอายุแรกเกิด ถึง6
ปีเป็นระยะที่มีความสำคัญช่วงหนึ่งในการวางรากฐานคุณภาพชีวิตของเด็ก
ด้วยเหตุที่เด็กปฐมวัยมีธรรมชาติและลักษณะเฉพาะที่แตกต่างไปจากบุคคลวัยอื่นๆ
ความต้องการ
ความต้องการเป็นสิ่งจาเป็นสำหรับการดำรงชีวิต ความต้องการเกิดขึ้นเมื่อร่างกายขาดความสมดุล
ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทาให้ร่างกายเกิดความเครียด ไม่เป็นสุข
ดังนั้นร่างกายจึงต้องมีการกระทำเกิดขึ้นเพื่อให้ร่างกายกลับสู่สภาวะสมดุลตามปกติ
ชนิดของความต้องการ
1.ความต้องการของแต่ละคน (Individual Needs )
- ความต้องการทางอินทรีย์
- ความต้องการที่จะสร้างบุคลิกภาพ
2 ความต้องการที่จะสร้างบุคลิกภาพ
- ความต้องการที่จะรักคนอื่นและให้คนอื่นรักตน
- ความต้องการความปลอดภัย
- ความต้องการการมีส่วนร่วม หรือเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
-
ความต้องการความสัมฤทธิ์ผลหรือต้องการให้บรรลุจุดมุ่งหมายของตน
- ความต้องการรู้สิ่งต่าง ๆ เพื่อการพัฒนาสติปัญญา
- ความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงจากสภาพที่อยู่ปกติให้เป็นสภาพใหม่
- ความต้องการที่จะรับความพึงพอใจในทางสวยงาม
ความต้องการทางสังคม (Social Need)
ได้แก่ ความต้องการความปลอดภัยทางเศรษฐกิจ การนับหน้าถือตา ความนิยมชมชื่น
ความเป็นมิตรภาพต่อกัน และความต้องการในสมบูรณาการ (Integration) ซึ่งเป็นความต้องการ ที่เป็นความสุขของชีวิตตามอุดมคติ
- ความต้องการของเด็กปฐมวัย
- ความต้องการพื้นฐานทางกาย เพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่
- ความต้องการความอิสระ ควบคู่ไปกับความต้องการพื้นฐานทางกาย
- ความต้องการผลสัมฤทธิ์ มักจะต้องการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทั้งสิ้น
- ความต้องการประสบการณ์ที่ท้าทาย
- ความต้องการมีเพื่อน เด็กปฐมวัยส่วนใหญ่ชอบอยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่น
เด็กปฐมวัยจะมีความใจอยู่ช่วงเวลาสั้นๆ ประมาณ 2-3 นาทีตามวัยของเด็ก
หากเราจะจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการขอเด็กปฐมวัย
และอยากให้เด็กสนใจและเกิดความต้องการเราต้องศึกษาสิ่งที่เด็กสนใจ
หรือวิธีการเรียนรู้ของเด็ก นั่นก็คือการที่เด็กได้เป็นผู้ปฏิบัติเอง ได้ลงมือทำเอง
เป็นต้น
ข้อเสนอแนะของอาจารย์ :
หาข้อมูลเพิ่มเติมเล็กน้อย
กลุ่มที่ 3 การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
การเรียนรู้ หมายถึง
การเปลี่ยนพฤติกรรมซึ่งเป็นผลมาจากประสบการณ์ที่คนเรามีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
หรือจากการฝึกหัด รวมทั้งการเปลี่ยนปริมาณความรู้ของผู้เรียน
มีองค์ประกอบ 3 อย่าง คือ
1) มนุษย์ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจาก “ไม่รู้” เป็น
“รู้”
“ทำไม่ได้” เป็น “ทำได้” “ไม่เคยทำ” เป็น “ทำ”
2) การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมนั้นต้องเป็นไปอย่างถาวร
3) การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนั้น เกิดจากประสบการณ์การฝึกฝนและการฝึกหัด
ไม่ใช่จากเหตุอื่นๆนอกจากนั้น
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจท์
เพียเจท์ กล่าวถึง
การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดจากการทำงานของโครงสร้างทางปัญญา
เป็นวิธีที่เด็กจะเริ่มต้นด้วยความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับสิ่งแวดล้อม
เพียเจท์ได้มองการเล่นเป็นกระบวนการพัฒนาทางสติปัญญา
ซึ่งกระบวนการพัฒนาทางสติปัญญา และลักษณะของการเล่นนั้น จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพียเจท์ได้แบ่งพัฒนาการทางสติปัญญาออกเป็น 4 ขั้น
1.
ขั้นประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว
2. ขั้นความคิดก่อนปฏิบัติการ
3. ขั้นปฏิบัติการคิดแบบรูปธรรม
4. ขั้นปฏิบัติการคิดแบบนามธรรม
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของไวกอสกี้
กล่าวว่า เด็กจะเกิดการเรียนรู้
พัฒนาสติปัญญาและทัศนคติเมื่อมีการปฏิสัมพันธ์และทำงานร่วมกับผู้อื่น
หากเด็กต้องเผชิญกับปัญหาที่ท้าทายแต่ไม่สามารถคิดแก้ปัญหาโดยลำพัง
แต่ถ้าได้รับการช่วยเหลือแนะนำจากผู้ใหญ่หรือเพื่อนที่มีประสบการณ์มาก่อน เด็กจะสามารถแก้ปัญหานั้นและจะเกิดการเรียนรู้ได้
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรูเนอร์
เชื่อว่า
ครูสามารถจัดประสบการณ์ให้กับเด็กปฐมวัยเพื่อให้เด็กเกิดความพร้อมที่จะเรียนได้
โดยต้องคำนึงถึงทฤษฎีพัฒนาการว่าเป็นตัวเชื่อมระหว่างความรู้และการสอน
กล่าวคือพัฒนาการจะเป็นตัวกำหนดเนื้อหาความรู้และวิธีการสอน หรือกิจกรรมการเรียนการสอนต้องสอดคล้องกับพัฒนาการและความสามารถของเด็กเป็นหลัก
จึงได้แบ่งขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัยออกเป็น 3 ขั้นตอน
1. ขั้นการเรียนรู้ด้วยการกระทำ
2.
ขั้นการเรียนรู้ด้วยภาพและจินตนาการ
3. ขั้นการเรียนรู้ด้วยสัญลักษณ์
หลักการจัดประสบการณ์การเรียนรู้
1.
จัดประสบการณ์การเล่นและการเรียนรู้เพื่อพัฒนาเด็กโดยองค์รวมอย่างต่อเนื่อง
2. เน้นเด็กเป็นสำคัญ สนองความต้องการ ความสนใจ ความแตกต่างระหว่างบุคคล
และบริบทของสังคมที่เด็กอาศัยอยู่
3. จัดให้เด็กได้รับพัฒนาโดยให้ความสำคัญทั้งกับกระบวนการและผลผลิต
แนวการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
1. จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับจิตวิทยาพัฒนาการ
2. จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับลักษณะการเรียนรู้ของเด็กวัยนี้
3. จัดประสบการณ์ในรูปแบบบูรณาการ
4. จัดประสบการณ์ให้เด็กได้ริเริ่ม คิด วางแผน ตัดสินใจ ลงมือกระทำ
และนำเสนอความคิด
5. จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กอื่น กับผู้ใหญ่
6.
จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อและแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลายและอยู่ในวิถีชีวิตของเด็ก
7. จัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมลักษณะนิสัยที่ดีและทักษะการใช้ชีวิตประจำวันและสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรม
8. จัดสภาพแวดล้อมภายในห้องเรียน ให้มีมุมเล่น หรือมุมประสบการณ์
หรือศูนย์การเรียนต่าง ๆ ให้เด็กได้มีโอกาสเล่นร่วมกับผู้อื่น
ข้อเสนอแนะของอาจารย์ : หาข้อมูลเพิ่มเติมเล็กน้อย
การสอนแบบโครงการหรือแบบโครงงาน Project Approach วงการศึกษาของไทยใช้ชื่อ “การสอนแบบโครงการ”
ในระดับปฐมวัยศึกษาหรือระดับอนุบาลศึกษา และ ใช้ชื่อ การสอนแบบโครงงาน ในระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา การสอนดังกล่าวเป็นวิธีการหนึ่งในหลายวิธีที่ส่งเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้โดยการสร้างความรู้ด้วยตนเอง
นับเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับการปฏิบัติที่เหมาะสมและการเรียนรู้ที่มีความหมายเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นของเด็กปฐมวัย
ความหมายของโปรเจคแอพโพส (Project Approach) คือวิธีการสอนรูปแบบหนึ่งที่ได้ให้โอกาสเด็กปฐมวัยเรียนรู้โดยการสืบค้นข้อมูลอย่างลึกในหัวเรื่องที่เด็กสนใจ มีค่าต่อการเรียนรู้ การสืบค้นอาจทำโดยเด็กกลุ่มเล็ก ๆ หรือเด็กทั้งชั้นร่วมกันหรืออาจเป็นเพียงเด็กคนใดคนหนึ่ง เพื่อหาคำตอบจากคำถามที่เด็กร่วมกันคิดด้วยกันกับเพื่อนหรือร่วมกันคิดกับครู และทำให้เกิดกระบวนการสืบค้นขึ้นมา ทั้งนี้หัวเรื่องที่นำมาสืบค้นมักจะมีความหมายต่อตัวเด็ก เช่น บ้าน รถยนต์ รถเมล์ เครื่องบิน โรงพยาบาล เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถบูรณาการเข้าในหลักสูตรปฐมวัยได้หลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับครูและสถานศึกษาที่นำไปใช้ หรือบูรณาการเนื้อหาเกี่ยวกับ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ รวมทั้งภาษา ในขณะทำโครงการได้อีกด้วย
นักการศึกษาส่วนใหญ่มีความคิดเห็นตรงกันเกี่ยวกับการจัดประสบการณ์แบบโครงการว่าเป็นวิธีการสอนที่ส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กได้ศึกษา ค้นคว้าอย่างลึกซึ้ง ในหัวข้อที่ตนสนใจ ด้วยการบูรณาการวิชาการต่าง ๆ เข้าด้วยกัน วิธีนี้จึงเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้อย่างมีความหมาย รวมทั้งยังเน้นการให้ความร่วมมือช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และยืดหยุ่นตามความสนใจ และความต้องการของเด็ก (จิรภรณ์ วสุวัต, 2544)
ที่มาแนวคิด “Project Approach” เริ่มจากความเคลื่อนไหวของนักการศึกษากลุ่มพิพัฒนนิยม (Progressive) ในประเทศสหรัฐอเมริกา ช่วงศตวรรษที่ 19 – 20 จอห์น ดิวอี้ ได้เขียนบทความและหนังสือที่เกี่ยวกับการสร้างประสบการณ์ทางการศึกษา ที่จะช่วยส่งเสริมให้เด็กเกิดความตระหนักในชุมชนร่วมกัน และได้นำโครงการเข้าไปใช้ในโรงเรียนทดลองที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ในปี ค.ศ.1943 ลูซี่ สปราค มิทเชลล์ (Lucy Spraque Mitchell) ได้นำนักศึกษาของวิทยาลัยการศึกษาแบงก์สตรีท เมืองนิวยอร์ก ออกศึกษาสิ่งแวดล้อม และได้สอนครูให้รู้จักวิธีการใช้โครงการวิธีสอนที่พัฒนาโดยวิทยาลัยการศึกษาแบงก์สตรีทนี้ มีส่วนคล้ายคลึงอย่างมากกับการสอนการใช้โครงการวิธีการสอนที่แบบโครงการ ส่วนในช่วง 30 ปี ที่ผ่านมา ครูโรงเรียนก่อนประถมศึกษาเมืองเรกจิโอ เอมิเลีย ประเทศอิตาลี ได้ประสบความสำเร็จในการนำโครงการเข้าไปใช้กับเด็กปฐมวัย แต่ลักษณะโครงการส่วนใหญ่โน้มเอียงไปทางการเรียนรู้ภาษากราฟิก (เขียนภาพลายเส้น) และข้อมูลที่ขยายการเรียนของเด็กผ่านโครงการรวมทั้งบทบาทของครูและพ่อแม่ในงานโครงการ
การนำแนวคิดการสอนแบบโครงการประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนในระดับปฐมวัยศึกษา หรือการสอนแบบโครงการจะปรากฏกิจกรรม 5 ลักษณะในแต่ละระยะของการทำโครงการ ซึ่งเสมือนขั้นตอนการสอนแบบโครงการกิจกรรมทั้ง 5 ลักษณะประกอบด้วย
การจัดการเรียนรู้แบบ
Project
Approach
ความหมายของโปรเจคแอพโพส (Project Approach) คือวิธีการสอนรูปแบบหนึ่งที่ได้ให้โอกาสเด็กปฐมวัยเรียนรู้โดยการสืบค้นข้อมูลอย่างลึกในหัวเรื่องที่เด็กสนใจ มีค่าต่อการเรียนรู้ การสืบค้นอาจทำโดยเด็กกลุ่มเล็ก ๆ หรือเด็กทั้งชั้นร่วมกันหรืออาจเป็นเพียงเด็กคนใดคนหนึ่ง เพื่อหาคำตอบจากคำถามที่เด็กร่วมกันคิดด้วยกันกับเพื่อนหรือร่วมกันคิดกับครู และทำให้เกิดกระบวนการสืบค้นขึ้นมา ทั้งนี้หัวเรื่องที่นำมาสืบค้นมักจะมีความหมายต่อตัวเด็ก เช่น บ้าน รถยนต์ รถเมล์ เครื่องบิน โรงพยาบาล เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถบูรณาการเข้าในหลักสูตรปฐมวัยได้หลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับครูและสถานศึกษาที่นำไปใช้ หรือบูรณาการเนื้อหาเกี่ยวกับ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ รวมทั้งภาษา ในขณะทำโครงการได้อีกด้วย
นักการศึกษาส่วนใหญ่มีความคิดเห็นตรงกันเกี่ยวกับการจัดประสบการณ์แบบโครงการว่าเป็นวิธีการสอนที่ส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กได้ศึกษา ค้นคว้าอย่างลึกซึ้ง ในหัวข้อที่ตนสนใจ ด้วยการบูรณาการวิชาการต่าง ๆ เข้าด้วยกัน วิธีนี้จึงเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้อย่างมีความหมาย รวมทั้งยังเน้นการให้ความร่วมมือช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และยืดหยุ่นตามความสนใจ และความต้องการของเด็ก (จิรภรณ์ วสุวัต, 2544)
ที่มาแนวคิด “Project Approach” เริ่มจากความเคลื่อนไหวของนักการศึกษากลุ่มพิพัฒนนิยม (Progressive) ในประเทศสหรัฐอเมริกา ช่วงศตวรรษที่ 19 – 20 จอห์น ดิวอี้ ได้เขียนบทความและหนังสือที่เกี่ยวกับการสร้างประสบการณ์ทางการศึกษา ที่จะช่วยส่งเสริมให้เด็กเกิดความตระหนักในชุมชนร่วมกัน และได้นำโครงการเข้าไปใช้ในโรงเรียนทดลองที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ในปี ค.ศ.1943 ลูซี่ สปราค มิทเชลล์ (Lucy Spraque Mitchell) ได้นำนักศึกษาของวิทยาลัยการศึกษาแบงก์สตรีท เมืองนิวยอร์ก ออกศึกษาสิ่งแวดล้อม และได้สอนครูให้รู้จักวิธีการใช้โครงการวิธีสอนที่พัฒนาโดยวิทยาลัยการศึกษาแบงก์สตรีทนี้ มีส่วนคล้ายคลึงอย่างมากกับการสอนการใช้โครงการวิธีการสอนที่แบบโครงการ ส่วนในช่วง 30 ปี ที่ผ่านมา ครูโรงเรียนก่อนประถมศึกษาเมืองเรกจิโอ เอมิเลีย ประเทศอิตาลี ได้ประสบความสำเร็จในการนำโครงการเข้าไปใช้กับเด็กปฐมวัย แต่ลักษณะโครงการส่วนใหญ่โน้มเอียงไปทางการเรียนรู้ภาษากราฟิก (เขียนภาพลายเส้น) และข้อมูลที่ขยายการเรียนของเด็กผ่านโครงการรวมทั้งบทบาทของครูและพ่อแม่ในงานโครงการ
การนำแนวคิดการสอนแบบโครงการประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนในระดับปฐมวัยศึกษา หรือการสอนแบบโครงการจะปรากฏกิจกรรม 5 ลักษณะในแต่ละระยะของการทำโครงการ ซึ่งเสมือนขั้นตอนการสอนแบบโครงการกิจกรรมทั้ง 5 ลักษณะประกอบด้วย
1. การอภิปราย ในงานโครงการครูสามารถแนะนำการเรียนรู้ให้เด็ก
และช่วยให้เด็กแต่ละ
คนมีโอกาสแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนทำกับเพื่อน การพบปะสนทนากันในกลุ่มย่อย
หรือกลุ่มใหญ่ทั้งชั้นทำให้เด็กมีโอกาสที่จะอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน
2. การศึกษานอกสถานที่ หรืองานในภาคสนาม เป็นกระบวนการที่สำคัญของการทำ
โครงการประสบการณ์ในระยะแรกครูอาจพาไปศึกษานอกห้องเรียน เรียนรู้สิ่งก่อสร้างต่างๆที่อยู่รอบบริเวณโรงเรียนเช่น
ร้านค้า ถนนหนทาง ป้ายสัญญาณ งานบริการต่าง ๆ ฯลฯ จะช่วยให้เด็กเข้าใจโลกที่แวดล้อม
มีโอกาสพบปะกับบุคคลที่มีความรู้เชี่ยวชาญในหัวเรื่องที่เด็กสนใจ
ซึ่งถือเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ขั้นแรกของงานศึกษาค้นคว้า
3. การนำเสนอประสบการณ์เดิม เด็กสามารถทบทวนประสบการณ์เดิมในหัวเรื่องที่
น่าสนใจ
มีการอภิปรายแสดงความคิดเห็นในประสบการณ์ที่เหมือนหรือแตกต่างกับเพื่อน
รวมทั้งแสดงคำถามที่ต้องการสืบค้นในหัวเรื่องนั้นๆ
นอกจากนี้เด็กแต่ละคนสามารถที่จะเสนอประสบการณ์ที่ตนมีให้เพื่อนในชั้นได้รู้ด้วยวิธีการอันหลากหลายเสมือนเป็นการพัฒนาทักษะเบื้องต้น ไม่ว่าจะเป็นการวาดภาพ
การเขียน การใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ การเล่นบทบาทสมมติ
และการก่อสร้างแบบต่าง ๆ
4. การสืบค้น งานโครงการเปิดกว้างให้ใช้แหล่งค้นคว้าข้อมูลอย่างหลากหลายตามหัว
เรื่องที่สนใจเด็กสามารถสัมภาษณ์พ่อแม่ ผู้ปกครองของตนเอง
บุคคลในครอบครัว เพื่อนนอกโรงเรียน สามารถหาคำตอบของตนด้วยการศึกษานอกสถานที่
สัมภาษณ์วิทยากรท้องถิ่นที่มีความรอบรู้ในหัวเรื่อง อาจสำรวจ
วิเคราะห์วัตถุสิ่งของตนเอง เขียนโครงร่าง
หรือใช้แว่นขยายส่องดูวัตถุต่าง ๆ
หรืออาจใช้หนังสือในชั้นเรียนหรือในห้องสมุดทำการค้นคว้า
5.การจัดแสดง การจัดแสดงทำได้หลายรูปแบบ
อาจใช้ฝาผนังหรือป้ายจัดแสดงงานของ เด็ก
เป็นการแลกเปลี่ยนความคิด ความรู้ที่ได้จากการสืบค้นแก่เพื่อนในชั้น ครูสามารถให้เด็กในชั้นได้รับทราบความก้าวหน้าในการสืบค้นโดยจัดให้มีการอภิปราย
หรือการจัดแสดงทั้งจะเป็นโอกาสให้เด็กและครูได้เล่าเรื่องงานโครงการที่ทำแก่ผู้มาเยี่ยมเยียนโรงเรียนอีกด้วย
เด็ก เป็นการแลกเปลี่ยนความคิด
ความรู้ที่ได้จากการสืบค้นแก่เพื่อนในชั้น ครูสามารถให้เด็กในชั้นได้รับทราบความก้าวหน้าในการสืบค้นโดยจัดให้มีการอภิปราย
หรือการจัดแสดงทั้งจะเป็นโอกาสให้เด็กและครูได้เล่าเรื่องงานโครงการที่ทำแก่ผู้มาเยี่ยมเยียนโรงเรียนอีกด้วย
ลักษณะทั้ง 5 ประการดังที่กล่าวมา จะปรากฏในแต่ละระยะของงานโครงการ ซึ่งมีอยู่
3 ระยะ คือ (พัชรี ผลโยธิน,2551)
ระยะที่ 1 เริ่มต้นโครงการ : ทบทวนความรู้และความสนใจของเด็ก
เด็กและครูจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการอภิปรายเพื่อเลือกและปรับหัวเรื่องที่จะทำการสืบค้น
หัวเรื่องอาจเสนอโดยเด็ก หรือครูและเด็กร่วมกันโดยใช้หลักในการเลือกหัวเรื่องดังนี้
1. เลือกหัวเรื่องที่เกี่ยวกับประสบการณ์ที่เด็กมีอยู่ทุกวัน อย่างน้อยเด็ก
ประมาณ 2 – 3 คน ควรคุ้นเคยกับหัวเรื่อง
และจะช่วยในการตั้งประเด็นคำถามเกี่ยวกับหัวเรื่อง
2. ทักษะพื้นฐานทางการรู้หนังสือและจำนวน
ควรถูกบูรณาการอยู่ในหัว
เรื่องที่ทำโครงการรวมทั้งวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษา
เช่น การถามคำถาม การสังเกต การนับ การทำกราฟ
การสเก็ตซ์ภาพ การปั้น การประดิษฐ์
ฯลฯ
3. หัวเรื่องที่เลือกควรใช้เวลาทำโครงการได้อย่างน้อย 1 สัปดาห์
และ
เหมาะที่จะทำการสำรวจค้นคว้าที่โรงเรียนมากกว่าที่บ้านเมื่อได้หัวเรื่องแล้ว
ครูควรเริ่มทำแผนที่ทางความคิด (Mind
map) หรือ ใยแมงมุม(Web)
เพื่อระดมความคิดร่วมกับเด็กในหัวเรื่องนั้น และจัดแสดงแผนที่ทางความคิดที่ทำไว้ภายในชั้นเรียน
ซึ่งข้อมูลต่าง ๆที่ได้สามารถใช้ในการสรุป อภิปราย ระหว่างทำโครงการ
และยังสามารถเชื่อมโยงไปยังหัวเรื่องย่อยได้อีกนอกจากนี้ ในช่วงอภิปรายระดมความคิด ครูจะทราบว่าเด็กมีประสบการณ์ในหัวเรื่องนั้นเพียงใดที่เด็กจะเสนอประสบการณ์และแสดงแนวคิดสิ่งที่ตนเข้าใจในรูปแบบต่าง
ๆ ตามความเหมาะสมของวัย เช่นเด็กปฐมวัยอาจใช้การเขียนภาพ
เล่นบทบาทสมมติ ฯลฯ ครูจะเป็นผู้ช่วยให้เด็กเสนอคำถามที่ต้องการสืบค้นคำตอบ
จดหมายเกี่ยวกับหัวเรื่องที่จะสืบค้นถูกส่งไปยังบ้านของเด็ก
ครูจะเป็นผู้กระตุ้นให้พ่อแม่พูดคุยกับเด็กเกี่ยวกับหัวเรื่องเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์
ครูจะชี้แนะวิธีสืบค้นเพื่อให้เด็กแต่ละคนได้ทำงานตามศักยภาพโดยใช้ทักษะพื้นฐานทางการสร้าง
การวาดภาพ ดนตรี และบทบาทสมมติ
ระยะที่ 2 พัฒนาโครงการ : ให้โอกาสเด็กค้นคว้า และมีประสบการณ์ใหม่เป็นงานในภาคสนาม ประกอบด้วยการสืบค้นตามแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ระยะนี้ถือเป็นหัวใจของโครงการ
ครูจะเป็นผู้จัดหา จัดเตรียมแหล่งข้อมูลให้เด็กสืบค้น
ไม่ว่าจะเป็นจริง หนังสือ วัสดุอุปกรณ์ต่าง
ๆหรือแม้แต่การออกภาคสนามหรือไปศึกษานอกสถานที่ หรือนัดหมายผู้เชี่ยวชาญ
วิทยากรท้องถิ่น เพื่อให้เด็กได้ทำการสืบค้น
สังเกตอย่างใกล้ชิด และบันทึกสิ่งที่พบเห็น
เขียนภาพที่เกิดจากการสังเกต จัดทำกราฟ แผนภูมิ ไดอะแกรม หรือสร้างแบบต่าง ๆ สำรวจ คาดคะเน
มีการอภิปรายเล่นบทบาทสมมติเพื่อแสดงความเข้าใจในความรู้ใหม่ที่ได้
ระยะที่ 3 สรุปโครงการ : ประเมิน สะท้อนกลับ และแลกเปลี่ยนงานโครงการเป็นระยะสรุปเหตุการณ์ รวมถึงการเตรียมเสนอรายงานและผลที่ได้ในรูปของการจัดแสดงการค้นพบ
และจัดทำสิ่งต่าง ๆ สนทนา เล่นบทบาทสมมติ
หรือจัดนำชมสิ่งที่ได้จากการก่อสร้างครูควรจัดให้เด็กได้แลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนเรียนรู้กับผู้อื่น
เด็กสามารถช่วยกันเล่าเรื่องการทำโครงการให้ผู้อื่นฟังโดยจัดแสดงสิ่งที่เป็นจุดเด่นให้เพื่อนในชั้นเรียนอื่น
ครู พ่อ แม่ ผู้ปกครอง และผู้บริหารได้เห็น ครูจะช่วยเด็กเลือกวัสดุอุปกรณ์ที่จะนำมาแสดง
ซึ่งการทำเช่นนี้เท่ากับช่วยให้เด็กทบทวนและประเมินโครงการทั้งหมด
ครูอาจเสนอให้เด็กใช้จินตนาการ ความรู้ใหม่ที่ได้ผ่านทางศิลปะ
ทางละคร สุดท้ายครูนำความคิดและความสนใจของเด็กไปสู่การสรุปโครงการ
และอาจนำไปสู่หัวเรื่องใหม่ของโครงการต่อไป
คุณค่าของโครงการ
ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ มุ่งเน้นให้สอน
โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญการสอนโดยการทำโครงการเป็นวิธีหนึ่ง
โดยแบ่งโครงการออกเป็น 2 ประเภท คือ
(วิมลศรี สุวรรณรัตน์, 2544)
1. โครงการตามสาระการเรียนรู้ เป็นโครงการที่นักเรียนมีกรอบการทำงานภายใต้วัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ในเนื้อหาแต่ละเรื่อง
2. โครงการตามความสนใจ นักเรียนอาสาสมัครทำตามความสนใจจากการสังเกตจากความสนใจส่วนตัว
ประเภทของโครงการ
เนื่องจากโครงการ คือ การแก้ปัญหาหรือข้อสงสัยของนักเรียน
โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ถ้าเนื้อหาหรือข้อสงสัยตรงกับรายวิชาใด
ก็จัดเป็นโครงการในรายวิชานั้น ๆ จึงแบ่ง
โครงการตามการได้มาซึ่งคำตอบของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ออกเป็น 4 ประเภท คือ
1.โครงการประเภทการสำรวจและรวบรวมข้อมูล
2.โครงการประเภททดลอง
3.โครงการประเภทสิ่งประดิษฐ์
4.โครงการประเภททฤษฏี
บทบาทของครูที่ปรึกษาโครงการ
1.ใช้วิธีการต่าง ๆ
ที่จะกระตุ้นให้นักเรียนคิดหัวข้อเรื่องโครงการ
2.จัดหาสิ่งอำนวยความสะดวก
วัสดุอุปกรณ์ในการทำโครงการ
3.ติดตามการทำงานอย่างใกล้ชิดเด็กวัยอนุบาลควรคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ
4.ให้กำลังใจในกรณีที่ล้มเหลว ควรแก้ปัญหาต่อไป
5.ชี้แนะแหล่งข้อมูล แหล่งความรู้ ผู้รู้
เอกสารต่าง ๆ ในการศึกษาค้นคว้า
6.ประเมินผลงาน ส่งผลงานเข้าร่วมประกวด
จัดเวทีให้แสดงความรู้ความสามารถ
(วิมลศรี สุวรรณรัตน์, 2544)
แนวการจัดประสบการณ์แบบโครงการ
การจัดประสบการณ์แบบโครงการ
เป็นวิธีการสอนที่ส่งเสริมให้เด็กได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคล วัตถุ สภาพแวดล้อม
โดยการที่เด็กได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับหัวข้อ ที่สนใจอย่างลึกซึ้ง
เน้นให้เด็กมีอิสระในการคิด การค้นวิธีที่จะได้คำตอบ
จากคำถามที่เด็กตั้งขึ้นด้วยวิธีการต่าง ๆ และนำเสนอสิ่งที่ได้เรียนรู้ ความรู้
ความเข้าใจ และประสบการณ์ที่มีเกี่ยวกับหัวข้อที่ได้ทำโครงการ
การทำโครงการเด็กอาจจะทำเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ที่มีความสนใจร่วมกัน หรือเป็นรายบุคคล
ในแต่ละโครงการจะใช้เวลานานกว่า 1 สัปดาห์ก็ได้ ขึ้นอยู่กับความสนใจของเด็ก โดยลักษณะการจัดประสบการณ์แบบโครงการ
แบ่งออกได้ดังนี้ (จิรภรณ์ วสุวัต, 2544)
ระยะเตรียมการวางแผนเข้าสู่โครงการ เป็นระยะที่เด็กและครูคัดเลือกหัวข้อที่ศึกษาในโครงการโดยครูและเด็กร่วมกันคิดและตัดสินใจเลือกหัวข้อเพื่อนำมาทำโครงการร่วมกันและช่วยกันระดมสมองทำแผนภูมิเครือข่ายการเรียนรู้
ระยะที่ 1 เริ่มต้นโครงการ เป็นระยะที่เด็กนำประสบการณ์ ที่มีเกี่ยวกับหัวข้อมานำเสนอ แลกเปลี่ยน
ความคิดเห็นและร่วมกันคิดหาวิธีการที่จะค้นหาคำตอบเกี่ยวกับประเด็นต่าง
ๆที่สนใจซึ่งระยะนี้ถือเป็นพื้นฐานของความเข้าใจที่สำคัญในการพัฒนาโครงการในระยะต่อไป
ระยะที่ 2 พัฒนาโครงการ เป็นระยะที่เป็นหัวใจของโครงการที่เด็กได้ศึกษาค้นคว้าหาคำตอบเกี่ยวกับหัวข้อในเรื่องที่สนใจ
และนำมาเสนอความรู้ที่ได้รับออกมาในรูปแบบของกิจกรรมและผลงานต่าง ๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความรู้
ความเข้าใจ ทักษะในการเรียนรู้
ระยะที่ 3 สรุปโครงการ เป็นระยะที่สรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้และนำเสนอผลงานต่าง ๆ
ที่ได้ทำในโครงการเพื่อให้ผู้ปกครอง ครู เพื่อน
ผู้สนใจได้รับทราบและแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับหัวข้อที่ทำ
ความรู้ที่เด็กจะได้รับเมื่อทำโครงการ
Piaget ได้กล่าวว่าความรู้จากการจัดประสบการณ์แบบโครงการ
มี 3 ประเภท ได้แก่
1.ความรู้ทางกายภาพ (Physical Knowledge)
เป็นความรู้ที่อยู่บนพื้นฐานของประสบการณ์ที่เกิดจากการกระทำกับวัตถุ
และการสังเกตปฏิกิริยาสะท้อนกลับ
ซึ่งความรู้ประเภทนี้จะไม่มีทางสร้างขึ้นได้หากเด็กไม่มีข้อมูลที่เกิดจากปฏิริยาสะท้อนกลับจากวัตถุ
เช่นการสังเกตการณ์จม และการลอยของวัตถุชนิดต่าง
ๆ หรือการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่าง ๆ เป็นต้น
แต่อย่างไรก็ตามความรู้ประเภทนี้ไม่สามารถที่จะละเอียดละออได้หากไม่มีเหตุผลทางตรรกะเข้ามา
2.ความรู้ทางตรรกะ คณิตศาสตร์ (Logio – Mathematical Knowledge) เป็นความรู้ที่เกี่ยวข้องกับผลของการกระทำกับวัตถุ
ที่ใช้การคาดการณ์ถึงผลที่จะเกิดไว้ในใจ ดังนั้น การเสนอแนะเกี่ยวกับผลของการกระทำ
จะเกิดขึ้นก่อนที่วัตถุนั้นจะถูกกระทำ
และเรื่องราวของความสัมพันธ์ที่ใช้การแทนค่าของวัตถุ เช่นเรื่องจำนวน
ซึ่งไม่ได้อยู่ในกลุ่มวัตถุใด
3.ความรู้ทางสังคม (Conventional Arbitry Knowledge)
เป็นความรู้ที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตนในสังคม
เช่นการปฏิบัติตามกฎข้อบังคับหรือกฎหมาย การเรียนรู้และปฏิบัติตามประเพณีต่าง ๆ
ของสังคม หรือ
การเรียนรู้ภาษาที่ใช้ในการพูและเขียน เป็นต้น
กิจกรรมที่สำคัญในการจัดประสบการณ์แบบโครงการ
การจัดประสบการณ์แต่ละระยะ มีกิจกรรมที่สำคัญดังนี้ (วิมลศรี สุวรรณรัตน์, 2544)
1. การพูดคุย(Discussion) การพูดคุยสนทนาเป็นกิจกรรมที่สำคัญในทุกระยะของการทำโครงการ
ไม่ควรใช้เวลานานเกินไป นอกจากนี้ครูควรเลือกเวลา และสถานที่ในการพูดคุยกับเด็กที่ครูพิจารณาแล้วว่าเหมาะสมในการพูดคุยกับเด็กทั้งชั้น
ขณะที่เด็กมีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วเด็กต้องการที่ปรึกษาหรือ
การแก้ปัญหาต่างๆนอกจากนี้การพูดคุยสนทนาเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้
ความเข้าใจ
และประสบการณ์ของตนเองที่มีไปยังครูและเพื่อนและรับรู้ถึงความรู้ความเข้าใจ
และประสบการณ์ของบุคคลอื่น
วิธีการตั้งคำถามที่กระตุ้นความสนใจเด็ก มีความสำคัญอย่างมากในการที่ครูจะนำไปใช้เพื่อกระตุ้นความสนใจของเด็ก
เพื่อให้เด็กได้คิด และพยายามค้นหาคำตอบ
ตลอดจนส่งเสริมให้เด็กได้แสดงออกทางความคิด และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เช่น
K_W_L เป็นเทคนิควิธีการกระตุ้นความสนใจของเด็ก
ตรวจสอบความรู้ความเข้าใจพื้นฐานที่มีเกี่ยวกับหัวข้อ และเตรียมการในการเรียนรู้ของเด็ก
What you Know ? อะไรที่เด็กอยากรู้
What you Want ? อะไรที่เด็กต้องการ
What you Learned ? อะไรที่เด็กรู้แล้ว
ยังมีคำถามที่สามารถกระตุ้นความสนใจของเด็กดังนี้
เด็กเห็นอะไร, เด็กรู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งที่พบเห็น, คาดว่าอะไรจะเกิดขึ้น, ได้เรียนรู้
อะไรเกี่ยวกับสิ่งที่คาดไว้, เด็กอยากเป็นอะไร, อยากรู้อะไรเกี่ยวกับอาชีพนี้,
รู้อะไรบ้างเกี่ยวกับอาชีพนี้ เป็นต้น
2.การปฏิบัติงานภาคสนาม (Field Work)การปฏิบัติภาคสนามจะช่วยให้เด็กได้ทั้งเป็นผู้รับและผู้สร้างความรู้ซึ่งเกิดจากการที่เด็กได้มีโอกาสค้นคว้าข้อมูลที่เป็นแหล่งข้อมูล
ปฐมภูมิ และจะทำให้เด็กสามารถเข้าใจความรู้ที่ได้รับในห้องเรียนชัดขึ้น
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ปฏิบัติภาคสนามมีความสำคัญต่อการเรียนรู้ของเด็กวัยอนุบาล และทุก
ๆวัยมาก เพราะเด็กจะได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ การมอง การได้ยิน การได้กลิ่น การได้ชิม
และความประทับใจ จะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ได้ดี
3.การนำเสนอ (Representation)การนำเสนอเป็นกิจกรรมที่เด็กได้ถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจ
และประสบการณ์ที่มีเกี่ยวกับหัวข้อที่เด็กกำลังทำโครงการ
การนำเสนอจึงเป็นกิจกรรมที่เด็กสามารถทำออกมาในรูปแบบต่าง ๆ เช่นการวาดภาพ
การเขียน การระบายสี การสร้าง การประดิษฐ์
การปั้น การตัด การแสดงละคร บทบาทสมมติ การร้องเพลง การเต้น การเล่นเกม และอื่น ๆ ที่เด็กสนใจ
การที่เด็กจะทำผลงานหรือนำเสนอสิ่งต่าง ๆ เด็กจะต้องทำความเข้าใจ และใช้ความรู้
ทักษะต่าง ๆเช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ศิลปะและอื่น ๆ
การนำเสนอจึงเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงกระบวนกรเรียนรู้ของเด็ก
4.การค้นคว้า (Investigation) การค้นคว้าเป็นกิจกรรมที่มีวัตถุประสงค์เบื้องต้นคือ
การหาวิธีการที่จะได้ข้อมูลหรือความรู้เกี่ยวกับหัวข้อ
การค้นคว้ามีกลวิธีที่เด็กจะได้ปฏิบัติจากการทำโครงการคือ กลวิธีการเป็นผู้กระทำ
และกลวิธีการเป็นผู้รับ
5. การจัดแสดง (Display) การจัดแสดง
เป็นการนำความรู้ หรือผลงานที่เด็กได้ทำในโครงการออกนำเสนอ
ซึ่งจะทำให้เด็กที่ทำโครงการได้นำผลงานมาแสดงให้เพื่อน ครูและผู้ปกครองได้เห็นถึงขั้นตอน
และ กระบวนการการเรียนรู้ที่เด็กได้ทำในโครงการ การจัดแสดงมีหลากหลายรูปแบบ เช่น
การจัดป้ายนิเทศ การจัดนิทรรศการ และการจัดแสดงอื่น ๆ
ดังนั้นการจัดประสบการณ์แบบโครงการจังเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กที่แตกต่างจากการจัดประสบการณ์โดยทั่ว
ๆไป คือ การเปิดโอกาสให้เด็กสร้างทางเลือก และใช้การตัดสินใจ การให้เด็กได้เรียนรู้ความผิดพลาดของตนเอง
ให้เด็กได้คิดวิเคราะห์เพื่อช่วยในการคิดและตัดสินใจในครั้งต่อไป
การให้เด็กคาดการณ์ถึงผลที่จะเกิดขึ้น ความลึกซึ้งในเรื่องที่ศึกษาขึ้นอยู่กับความสนใจของเด็กที่จะค้นคว้าหาความรู้ของตนเองและครูจะให้คำแนะนำตามความสนใจที่เด็กอยากเรียนรู้
ในแต่ละระยะของการทำโครงการกิจกรรมหลักที่สำคัญทั้ง 5 กิจกรรมจะช่วยให้เด็กได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ
และพัฒนาโครงการที่ทำจนเป็นผลสำเร็จ
การจัดการเรียนรู้แบบ
Project
Approach
ข้อเสนอแนะของอาจารย์ :ให้ศึกษาเพิ่มเติม
ทักษะ
- ทักษะการสรุปความรู้จากข้อมูล
- ทักษะการต่อยอดความรู้
- ทักษะการฟัง
- ทักษะการคิดอย่างมีเหตุผล
- ทักษะการนำเสนอ
- ทักษะการคิดอย่างเป็นระบบ
- ทักษะการคิดอย่างมีแบบแผน
การนำมาใช้
สามารถนำความรู้ที่ได้รับจากการนำเสนอของเพื่อนๆ
และอาจารย์จากทฤษฎีต่างๆ เพื่อต่อยอดความรู้ที่มีอยู่เดิมได้นำไปใช้ในการออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อให้เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กและรู้เทคนิคการสอนที่ดี
ประเมินตัวเอง : แต่งกายถูกระเบียบ มาเรียนตรงเวลา
ประเมินเพื่อน : ตั้งใจเรียน และเข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจนำเสนองาน
เนื้อหาครบถ้วนและเข้าใจ
ประเมินผู้สอน : แต่งกายเรียบร้อย น้ำเสียงในการถ่ายทอดไพเราะมีคำถาม
มาให้แสดงความคิดเห็นอยู่เสมอ และในคำแนะนำในการนำเสนอผลงานระหว่างก่อน
และหลังนำเสนอ
ประเมินห้องเรียน : ห้องเรียนสะอาด อากาศเย็นสบาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น