Record of Learning 5
Monday 12 Febuary 2018
เนื้อหาที่เรียน ความรู้ที่ได้รับ
- กิจกรรมการเรียนการสอนวันนี้ เป็นการนำเสนองานหน้าชั้นเรียน ถัดจากสัปดาห์ที่ 2 และ 3 ซึ่งได้นำเสนอไปแล้วทั้งหมด 6 กลุ่ม
กลุ่มที่ 1
เรื่องพัฒนาการตามวัยของเด็กปฐมวัย
กลุ่มที่ 2
ความสนใจและความต้องการของเด็กปฐมวัย
กลุ่มที่ 3
การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
กลุ่มที่ 4 รูปแบบการเรียนรู้นวัตกรรมการสอนโปรเจค
(Project Approach)
กลุ่มที่ 5 รูปแบบการเรียนรู้แบบมอนเตสซอรี่
กลุ่มที่ 6 รูปแบบการเรียนการสอนแบบไฮสโคป ( HighScope Approach )
- วันนี้จึงเป็นการนำเสนอของกลุ่มที่ 7
กลุ่มที่
7 เทคนิคการสอนแบบ
Storyline
storyline เป็นการนำสาระการเรียนรู้จากหลากหลายเรื่องมาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน
เพื่อนจัดการเรื่องรู้ภายใต้หัวเรื่องเดียวกัน โดยผูกเรื่องเป็นตอนๆ
เรื่องแต่ละตอนจะต่อเนื่องกันและมีลำดับเหตุการณ์และเส้นทางการเดินเรื่อง
และใช้คำถามหลักเป็นการนำไปสู่การทำกิจกรรมอย่างหลากหลาย โดยการลงมือปฎิบัติ
เน้นการคิด วิเคราะห์ กระบวนการกลุ่ม
องค์ประกอบและลักษณะของกิจกรรม
แนวทางการจัดกิจกรรม
- ศึกษาแลกเปลี่ยน เรียนรู้ วิธีการจัด กิจกรรมแบบ storyline
- ศึกษาตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ ที่มีลักษณะหัวเรื่องโดยใช้เทคนิค storyline
- เลือกแผนที่มีความเหมาะสมกับชั้นเรียน เพื่อทดลองสอน
- เลือกแผนการจัดการเยนรู้ที่มีความยาวสลับซับซ้อนมากขึ้นมาทดลองอีก 2-3 แผนเพื่อให้ชำนาญ
- ทดลองเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ตามหัวข้อเรื่องที่สนใจผูกโยงเนื้อหาสาระการเรียนรู้ที่หลากหลาย เข้าด้วยกัน
- สร้างคำถามหลักเพื่อนำไปสู่การจัดการเรียนรู้แบบstoryline
- กำหนดระยะเวลาสอนในแต่ละหัวข้อ อาจกำหนดต่อเนื่องกัน 2-3ชั่วโมงในทุกวันศุกร์ช่วงบ่าย หรือสอนวันเว้นวัน หรือสัปดาห์สุดท้าย ก่อนปิดภาคเรียน
- นำแผนไปทดลองสอน
- บันทึกหลังสอน ปรับแผน กิจกรรม ระยะเวลา
- เนื้อหาสาระการเรียนรู้
- เตรียมสื่อแหล่งการเรียนรู้ แหล่งวิทยาการ วิทยากร สถานที่
- ประเมินผลงานของนักเรียน
ข้อดี
- ผู้เรียนพัฒนาตนเอง สติปัญญา ความคิด การวิเคราะห์ สร้างสรรค์ แกไขปัญหา ตัดสินใจ สร้างความรู้ แสวงหาความรู้ การสื่อสาร การทำงานร่วมกัน
- การสื่อสาร
- การคิดและลงมือปฏิบัติ ค้นพบ สืบสวน สร้างจินตนาการ แก้ปัญหา ตัดสินใจ รับผิดชอบ
- Active Learning กระตือรืนร้น นำไปใช้จริง ลงมือศึกษา คิด ปฏิบัติ ท้าทายความสามารถ
- ยอมรับคุณค่าของตนเองและผู้อื่น
ข้อจำกัด
- หัวเรื่องที่สร้างขึ้นต้องเพียงพอที่จะสัมพันธ์เรื่องอื่นได้อย่างกว้างขวาง
- ไม่ควรสอนหลายๆหัวเรื่องไปพร้อมกัน
- ความร่วมมือ
- กิจกรรมต้องมีความหมายกับผู้เรียน
แผนการจัดการเรียนรู้แบบ storyline
- จุดประสงค์การเรียนรู้
- ลำดับการดำเนินเรื่อง
- ลำดับความสำคัญ
- กิจกรรม
- การจัดชั้นเรียน
- สื่อการเรียนรู้ การสอน และแหล่งเรียนรู้
- ผลงาน
อ้างอิง
- สุคนร์ สินธพานนท์และคณะ.(2554) วิธีสอนตามแนวปฏิรูปการศึกษา เพื่อพัฒนาคุณภาพของเยาวชน. ห้างหุ้นส่วนจำกัด 9119 เทคนิคพริ้นติ้ง
- ฆนัท ธาตุทอง.(2551) การออกแบบการสอนและบูรณาการ.เพชรเกษม การพิมพ์.
ข้อเสนอแนะจากอาจารย์ :
มีเวลาจะให้
นักศึกษาลงปฏิบัติของจริง
กลุ่มที่ 8 การสอนแบบวอลดอร์ฟ
ผู้ริเริ่มแนวการสอนที่รู้จักชื่อแพร่หลายแบบวอลดอร์ฟ
(Waldort)คือ
รูดอร์ฟ สไตเนอร์(Rudolf
Steiner) วิธีการสอนของสไตเนอร์หรือวอลดอร์ฟ
นั้นจัดเป็นการเรียนการสอนแบบเน้นกิจกรรมการเล่น คือ ดนตรี จังหวะบทเพลงนิทาน
เพราะกิจกรรมเหล่านี้ช่วยส่งเสริมความคิดจินตนาการของเด็ก
และช่วยพัฒนาการการเคลื่อนไหวของร่างกาย
แนวการเรียนการสอนของโรงเรียนวอลดอร์ฟ
โรงเรียนแนวการเรียนการสอนแบบวอลดอร์ฟเป็นแนวการศึกษาที่บูรณาการวิชาการไปกับกิจกรรรมต่างๆ
โดยมีครูคอยดูแลและอำนวยความสะดวกเน้นการจัดบรรยากาศในการเรียนการสอนที่เน้นความงดงามของธรรมชาติทั้งในกลางแจ้งและในห้องเรียน
โดยเชื่อว่าช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี
เพื่อพัฒนาให้เด็กเป็นมนุษย์ที่มีบุคลิกภาพที่สมดุลกลมกลืนไปกับโลกและสิ่งแวดล้อมและได้ใช้พลังงานทุกด้านอย่างพอเหมาะ
จุดเด่นของโรงเรียนแนวการสอนวอลดอร์ฟ
เป้าหมาย คือ
ช่วยให้มนุษย์บรรลุศักยภาพสูงสุดที่ตนมีและสามารถกำหนดความมุ่งหมายและแนวทางแก่ชีวิตของตนได้อย่างอิสระ เน้นเรื่องของการเชื่อมโยงมนุษย์กับจักรวาล
โดยมีมุมมองว่า เด็กควรได้เล่นอย่างอิสระ ชีวิตเรียบง่ายกลมกลืนกับธรรมชาติ
เน้นการสอนให้รู้จักจุดยืนที่สมดุลของตนในการใช้ชีวิตอยู่บนโลก โดยผ่านกิจกรรม 3
อย่างคือ กิจกรรมทางกาย ผ่านอารมณ์ความรู้สึก และผ่านการคิด
เน้นการให้เด็กได้ใช้พลังทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา ด้านศิลปะ
และด้านการปฏิบัติอย่างพอเหมาะจะสอนตามพัฒนาการของเด็ก โดยเฉพาะวัย 0-7
ปีเป็นวัยที่มีพัฒนาการทางกายมาก จึงเน้นไปที่การเล่นเพื่อพัฒนาอวัยวะส่วน
สิ่งที่การเรียนแนววอลดอร์ฟเน้นมากคือ
"จินตนาการของเด็กคือการเรียนรู้" วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้จะต้องเป็นธรรมชาติ
เช่น ถ้าวาดรูป สีที่ใช้ก็จะมีแค่สีปฐมภูมิ คือ สีแดง สีน้ำเงิน สีเหลือง เท่านั้น
แนวคิดนี้จะทำให้เด็กมีจิตใจอ่อนโยน มองเห็นว่าโลก สิ่งแวดล้อม
และสรรพสิ่งเป็นสิ่งเดียวกันต้องช่วยกันรักษา
ซึ่งส่งเสริมให้เด็กรู้จักคิดวิเคราะห์เป็น
กิจกรรมที่มุงเน้นในโรงเรียนวอลดอร์ฟ
ส่วนใหญ่แล้วโรงเรียนแนววอลดอร์ฟมักจะเน้นไปที่การเรียนรู้แบบธรรมชาติ
ไม่มีห้องเรียน
ไม่มีกระดานดำแต่จะมีมุมต่างๆให้เด็กได้เรียนรู้ได้เป็นอิสระที่จะคิดและสร้างสรรค์หรือหากเด็กๆ
ต้องการเล่นตุ๊กตา เล่นรถ
ในห้องก็จะมีข้าวของที่ทำจากธรรมชาติให้ประดิษฐ์ดัดแปลงเล่นกัน เช่น ผ้าหลากสี
ท่อนไม้ เปลือกไม้ ลูกสน เป็นต้น ทุกอย่างจะถูกกำหนดให้เป็นได้สารพัดตามแต่ใจเด็กๆ
สภาพแวดล้อมในโรงเรียนวอลดอร์ฟ
รูดอร์ฟ สไตเนอร์ นักปรัชญาชาวเยอรมัน
ผู้ริเริ่มแนวการเรียนการสอนแนววอลดอร์ฟเชื่อว่า
สิ่งแวดล้อมที่ดีจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี โดยเฉพาะเด็กๆ
ที่มีจิตใจละเอียดอ่อนจะซึมซับสิ่งแวดล้อมและเรียนรู้ได้ง่าย ดังนั้นการจัดบรรยากาศทั้งในและนอกชั้นเรียนจึงเป็นเรื่องสำคัญ
มีการเน้นความงดงามตามธรรมชาติ เช่น การจัดสีที่นุ่มนวล
แสงสว่างจากธรรมชาติที่ไม่จัดจ้า ตลอดจนเสียงที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม เช่น นกร้อง
ใบไม้ไหว น้ำไหลริน หรือเสียงดนตรีที่ไพเราะ จะสร้างความรู้สึกอบอุ่น อ่อนโยน
และสดชื่นให้เกิดขึ้นในจิตใจเด็กเด็กจะมีพลังตื่นตัวและมีสมาธิในการเรียนรู้ได้ไม่ยาก
สิ่งที่เด็กได้รับจากการเรียนโรงเรียนวอลดอร์ฟ
การเรียนการสอนแนววอลดอร์ฟจะช่วยให้เด็กเติบโตเป็นมนุษย์ที่มีบุคลิกภาพสมดุลกลมกลืนกับโลกและสิ่งแวดล้อมให้เด็กได้พัฒนาทั้งร่างกายและจิตวิญญาณควบคู่กันไปเด็กจะพัฒนาถึงศักยภาพสูงสุดของตนได้โดยการเรียนรู้ของเด็กนั้นจะเป็นไปอย่างสมดุลโดยการเรียนรู้ทางกาย(การลงมือทำ)
หัวใจ(ความรู้สึก ความประทับใจ) และสมอง(ความคิด)
อ้างอิง
ศาตราจารย์ ดร.อารี สัณหฉวี หนังสือ นวัตกรรมปฐมวัย
ปีที่พิมพ์ 2537 การสอนแบบวอลดอร์ฟจะพัฒนาเด็กได้อย่างไร
แนวการเรียนการสอนของโรงเรียนวอลดอร์ฟ
เรียบเรียงข้อมูลจาก : พ็อกเก็ตบุ๊กส์ เลือกอนุบาล เพื่อสร้างอนาคตลูก จาก
สำนักพิมพ์รักลูกบุ๊กส์
ข้อเสนอแนะจากอาจารย์ : นักศึกษาทุกคนควรศึกษาด้วยตนเองอีกครั้ง
เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น
กลุ่มที่ 8 การสอนแบบวอลดอร์ฟ
ผู้ริเริ่มแนวการสอนที่รู้จักชื่อแพร่หลายแบบวอลดอร์ฟ (Waldort)คือ รูดอร์ฟ สไตเนอร์(Rudolf Steiner) วิธีการสอนของสไตเนอร์หรือวอลดอร์ฟ นั้นจัดเป็นการเรียนการสอนแบบเน้นกิจกรรมการเล่น คือ ดนตรี จังหวะบทเพลงนิทาน เพราะกิจกรรมเหล่านี้ช่วยส่งเสริมความคิดจินตนาการของเด็ก และช่วยพัฒนาการการเคลื่อนไหวของร่างกาย
แนวการเรียนการสอนของโรงเรียนวอลดอร์ฟ
โรงเรียนแนวการเรียนการสอนแบบวอลดอร์ฟเป็นแนวการศึกษาที่บูรณาการวิชาการไปกับกิจกรรรมต่างๆ โดยมีครูคอยดูแลและอำนวยความสะดวกเน้นการจัดบรรยากาศในการเรียนการสอนที่เน้นความงดงามของธรรมชาติทั้งในกลางแจ้งและในห้องเรียน โดยเชื่อว่าช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี เพื่อพัฒนาให้เด็กเป็นมนุษย์ที่มีบุคลิกภาพที่สมดุลกลมกลืนไปกับโลกและสิ่งแวดล้อมและได้ใช้พลังงานทุกด้านอย่างพอเหมาะ
จุดเด่นของโรงเรียนแนวการสอนวอลดอร์ฟ
เป้าหมาย คือ ช่วยให้มนุษย์บรรลุศักยภาพสูงสุดที่ตนมีและสามารถกำหนดความมุ่งหมายและแนวทางแก่ชีวิตของตนได้อย่างอิสระ
เน้นเรื่องของการเชื่อมโยงมนุษย์กับจักรวาล โดยมีมุมมองว่า เด็กควรได้เล่นอย่างอิสระ ชีวิตเรียบง่ายกลมกลืนกับธรรมชาติ เน้นการสอนให้รู้จักจุดยืนที่สมดุลของตนในการใช้ชีวิตอยู่บนโลก โดยผ่านกิจกรรม 3 อย่างคือ กิจกรรมทางกาย ผ่านอารมณ์ความรู้สึก และผ่านการคิด เน้นการให้เด็กได้ใช้พลังทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา ด้านศิลปะ และด้านการปฏิบัติอย่างพอเหมาะ
จะสอนตามพัฒนาการของเด็ก โดยเฉพาะวัย 0-7 ปีเป็นวัยที่มีพัฒนาการทางกายมาก จึงเน้นไปที่การเล่นเพื่อพัฒนาอวัยวะส่วน
สิ่งที่การเรียนแนววอลดอร์ฟเน้นมากคือ "จินตนาการของเด็กคือการเรียนรู้" วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้จะต้องเป็นธรรมชาติ เช่น ถ้าวาดรูป สีที่ใช้ก็จะมีแค่สีปฐมภูมิ คือ สีแดง สีน้ำเงิน สีเหลือง เท่านั้น แนวคิดนี้จะทำให้เด็กมีจิตใจอ่อนโยน มองเห็นว่าโลก สิ่งแวดล้อม และสรรพสิ่งเป็นสิ่งเดียวกันต้องช่วยกันรักษา ซึ่งส่งเสริมให้เด็กรู้จักคิดวิเคราะห์เป็น
กิจกรรมที่มุ่งเน้นในโรงเรียนวอลดอร์ฟ
ส่วนใหญ่แล้วโรงเรียนแนววอลดอร์ฟมักจะเน้นไปที่การเรียนรู้แบบธรรมชาติ ไม่มีห้องเรียน ไม่มีกระดานดำแต่จะมีมุมต่างๆให้เด็กได้เรียนรู้ได้เป็นอิสระที่จะคิดและสร้างสรรค์หรือหากเด็กๆ ต้องการเล่นตุ๊กตา เล่นรถ ในห้องก็จะมีข้าวของที่ทำจากธรรมชาติให้ประดิษฐ์ดัดแปลงเล่นกัน เช่น ผ้าหลากสี ท่อนไม้ เปลือกไม้ ลูกสน เป็นต้น ทุกอย่างจะถูกกำหนดให้เป็นได้สารพัดตามแต่ใจเด็กๆ
สภาพแวดล้อมในโรงเรียนวอลดอร์ฟ
รูดอร์ฟ สไตเนอร์ นักปรัชญาชาวเยอรมัน ผู้ริเริ่มแนวการเรียนการสอนแนววอลดอร์ฟเชื่อว่า สิ่งแวดล้อมที่ดีจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี โดยเฉพาะเด็กๆ ที่มีจิตใจละเอียดอ่อนจะซึมซับสิ่งแวดล้อมและเรียนรู้ได้ง่าย ดังนั้นการจัดบรรยากาศทั้งในและนอกชั้นเรียนจึงเป็นเรื่องสำคัญ มีการเน้นความงดงามตามธรรมชาติ เช่น การจัดสีที่นุ่มนวล แสงสว่างจากธรรมชาติที่ไม่จัดจ้า ตลอดจนเสียงที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม เช่น นกร้อง ใบไม้ไหว น้ำไหลริน หรือเสียงดนตรีที่ไพเราะ จะสร้างความรู้สึกอบอุ่น อ่อนโยน และสดชื่นให้เกิดขึ้นในจิตใจเด็กเด็กจะมีพลังตื่นตัวและมีสมาธิในการเรียนรู้ได้ไม่ยาก
สิ่งที่เด็กได้รับจากการเรียนโรงเรียนวอลดอร์ฟ
การเรียนการสอนแนววอลดอร์ฟจะช่วยให้เด็กเติบโตเป็นมนุษย์ที่มีบุคลิกภาพสมดุลกลมกลืนกับโลกและสิ่งแวดล้อมให้เด็กได้พัฒนาทั้งร่างกายและจิตวิญญาณควบคู่กันไปเด็กจะพัฒนาถึงศักยภาพสูงสุดของตนได้โดยการเรียนรู้ของเด็กนั้นจะเป็นไปอย่างสมดุลโดยการเรียนรู้ทางกาย(การลงมือทำ) หัวใจ(ความรู้สึก ความประทับใจ) และสมอง(ความคิด)
อ้างอิง
ศาตราจารย์ ดร.อารี สัณหฉวี หนังสือ นวัตกรรมปฐมวัย
ปีที่พิมพ์ 2537 การสอนแบบวอลดอร์ฟจะพัฒนาเด็กได้อย่างไร
แนวการเรียนการสอนของโรงเรียนวอลดอร์ฟ เรียบเรียงข้อมูลจาก : พ็อกเก็ตบุ๊กส์ เลือกอนุบาล เพื่อสร้างอนาคตลูก จาก สำนักพิมพ์รักลูกบุ๊กส์
คลิปวิดีโอ การสอนแบบวอลดอร์ฟ
ข้อเสนอแนะจากอาจารย์ : นักศึกษาทุกคนควรศึกษาด้วยตนเองอีกครั้ง เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น
กลุ่มที่ 9 การสอนแบบภาษาธรรมชาติ
ที่มาของการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
การสอนภาษาแบบธรรมชาติ
เกิดจากหลักการ และแนวคิด ของนักศึกษา นักวิจัยทางภาษาที่มีชื่อเสียง คือ Jean piaget ผู้เชื่อว่าการที่เด็กได้เคลื่อนไหวสัมผัสสิ่งต่างๆรอบตัวจะเป็นการคิดสร้างความรู้ขึ้นภายในตนหรือเด็กเป็นผู้กระทำ
ไม่ใช่การรับเข้าไปเฉยๆ การเรียนรู้ของเด็กเกิดจากอิทธิพลทางสังคม
และเชื่อว่าการสอนภาษาเป็นความสำคัญที่เด็กจะต้องใช้เพื่อการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันของเด็กและภาษามีความหมายต่อชีวิต
การเรียนภาษาจึงต้องมาจากสิ่งที่เป็นจริงและเกี่ยวข้องกับเด็ก
โดยเรียนภาษาแบบองค์รวมคือ เรียน ฟัง พูด อ่าน เขียนไปพร้อมกัน
ตามหลักทฤษฎีของ จอห์น เพียเจต์ (Jean piaget)
การสอนภาษาแบบธรรมชาติ คือ การที่เด็กได้เรียนรู้
การใช้ภาษาทั้งด้านการ ฟัง พูด อ่าน เขียน
เป็นไปตามธรรมชาติอย่างมีความหมายสอดคล้องเหมาะสมกับวัย โดยไม่แยกว่าต้องอ่านก่อน เขียนก่อน
แต่จะเน้นให้เด็กได้ลงมือกระทำด้วยตนเอง เช่นการอ่านนิทาน เล่าเรื่องราว
ฟังเรื่องเล่าจากเพื่อน ฟังนิทานจากครู เป็นต้น
ลักษณะการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
- ยึดเด็กเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้
- เด็กมีโอกาสเลือกกิจกรรมปฏิบัติอย่างอิสระ
- ครูเป็นผู้สนับสนุนการเรียนรู้และร่วมมือจัดการเรียนการสอนระหว่างเด็กกับครู ตั้งแต่วางแผนการเรียนว่า จะทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ใช้อุปกรณ์อะไร และใครรับผิดชอบส่วนไหนบ้าง
- คำนึงถึงการมีปฏิสัมพันธ์ของเด็ก เพราะเด็กจะต้องอยู่ในสังคม ห้องเรียนจึงเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมให้กับเด็ก
สถานศึกษาที่จัดการเรียนการสอนแบบภาษาในระดับปฐมวัย
โรงเรียนเกษมพิทยาได้ค้นพบว่า
ปัจจุบันเด็กประถมวัยมีปัญหาการเรียนภาษา มีทัศนคติที่ไม่ดี เชื่อว่าเรียนภาษายาก
เพราะการสอนเด็กด้วยระบบเก่าเน้นทักษะและเน้นไวยากรณ์ โดยการแจกลูกผสมคำ
แต่เด็กกลับอ่านหนังสือไม่ออกในระดับประถมศึกษา ถึงแม้จะฝึกหนัก
การแก้ปัญหาดังกล่าวคือ การเลือกใช้วิธีการสอนที่เหมาะสมกับเด็กปฐมวัย
เพราะการพัฒนาการทางสมองจะมีการทำงานแบบองค์รวม
แหล่งที่มา
- กุลยา ตันติผลาชีวะ (2545). รูปแบบการเรียนการสอนปฐมวัยศึกษา. กรุงเทพมหานคร: บริษัทเอดิสัน เพรสโปรดักส์ จำกัด.
- บุบผา เรืองรอง (2550). ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย . นครศรีธรรมราช: มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช.
- วรนาท รักสกุลไทย (2554). นวัตกรรมการสอนภาษาแบบธรรมชาติ. กรุงเทพมหานคร: Thai Teacher TV . (2554 ) . นวัตกรรมการสอนภาษาแบบธรรมชาติ . กรุงเทพมหานคร: โรงเรียนเกษมพิทยา.
วิดีโอการสอนแบบสอนธรรมชาติ
ข้อเสนอแนะจากอาจารย์ : นักศึกษาทุกคนควรศึกษาด้วยตนเองอีกครั้ง เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น
ทักษะ
- ทักษะการฟัง
- ทักษะการคิดอย่างมีเหตุผล
- ทักษะการสรุปความรู้จากข้อมูล
- ทักษะการต่อยอดความรู้
- ทักษะการนำเสนอ
- ทักษะการคิดอย่างเป็นระบบ
- ทักษะการคิดอย่างมีแบบแผน
การนำมาใช้
สามารถนำความรู้ที่ได้รับจากการนำเสนอของเพื่อนๆ และอาจารย์ไปต่อยอดความรู้ในการออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อให้เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กและรู้เทคนิคการสอนที่ดี
ประเมินตนเอง: มาเรียนตรงเวลา แต่งกายมาเรียนถูกระเบียบตามที่อาจารย์กำหนด และฟังเพื่อนนำเสนองาน จดและบันทึกตาม
ประเมินเพื่อน:แต่งการถูกระเบียบ มาเรียนตรงเวลา ให้ความร่วมมือในการตอบคำถาม และฟังเพื่อนกลุ่มอื่นนำเสนองาน
ประเมินอาจารย์:อาจารย์มาสอนตรงเวลา แต่งกายเหมาะสม เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้แสดงความคิดเห็น
ประเมินอาจารย์:อาจารย์มาสอนตรงเวลา แต่งกายเหมาะสม เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้แสดงความคิดเห็น
ประเมินห้องเรียน: ห้องเรียนสะอาดกว้าง บรรยากาศเหมาะสมกับการเรียน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น